รู้ทุกข์ รู้ธรรม



ความโกรธ ความโลภ ความหลง มันไม่ได้มีที่เรา
เราหลงชีวิตเรา เราไม่เคยเห็นชีวิตจิตใจของเรา
เมื่อใครมาว่าให้เรา เราไปจับ ไม่ใช่มือจับ
ตัวอวิชชานั่นไปจับเอามา จับมาแล้วมันปรุงเป็นสังขาร
สังขารแปลว่าปรุงแต่ง มันหนักแล้วหนักใจ
หนักใจแล้วจึงโกรธ โกรธขึ้นมาแล้วบัดนี้
เราไม่รู้จักทุกข์แล้ว มันหนักอย่างน้อย ๑oo%
ก็เป็นได้นะ อันนั้น ท่านว่าตกนรกทั้งเป็น
ถ้าหากตกนรกต่อเมื่อตายมีจริง ก็เถอะ
ตายไปแล้วไปตกนรกจริงๆ
เบื้องหน้า ชาติหน้า เราไม่เห็น นรกวันพรุงนี้ เราไม่เห็น
เราเห็นชีวิตจริง ปัจจุบันนี่ เมื่อเราไม่มีทุกข์ในปัจจุบันนี้แล้ว
เราไม่มีความโกรธ ความโลภ ความหลง ใครจะว่าอย่างไร
เราอยู่ด้วยสติปัญญา เห็นชีวิตจิตใจอยู่อย่างนี้
เราไม่มีทุกข์ ใช่ไหม

ศึกษาธรรมะ กับธรรมชาติ


ศึกษาธรรมะ ศึกษากับธรรมชาติมันจริงๆ
มันก็ต้องรู้มาจากกฎของธรรมชาติมันจริงๆ
เพราะธรรมชาติมันสอนให้เราจริงๆ เป็นอย่างนั้น


ตาจึงเป็นหน้าที่ของมองให้เห็น
หูจึงเป็นหน้าที่ของฟัง
จมูกจึงเป็นหน้าที่ของดม
กายเราเป็นหน้าที่ที่สัมผัส เย็น ร้อน อ่อน แข็ง
ลิ้นนี่ กินอาหารเข้าไปเป็นหน้าที่ที่จะรู้รส
จิตใจของเราเรียกว่าธรรมารมณ์เกิดขึ้นกับใจ
คำว่าธรรมารมณ์เกิดขึ้น ก็คือ หมายถึง
จิตใจเราปรากฏ พลิกแพลง เราต้องเห็นต้องรู้


เมื่อเรารู้จักหน้าที่ของคน
เราต้องศึกษาความเป็นคน
เนี่ยะ…ความเป็นมนุษย์
เรื่องเทวดา เรื่องพระอินทร์ พระ-พรหม
แล้วก็ไม่ต้องศึกษาก็ได้ มันเป็นอย่างนั้น
แต่เมื่อศึกษาความเป็นมนุษย์ได้แล้ว
มันจะไหลไป เข้าไปสู่ความเป็นพระอริยบุคคล
ไม่ว่ายุคนั้น ยุคนี้ ไปเหมือนเดิม


ดังนั้น การศึกษาธรรมะจึงไม่ยาก
ไม่ขึ้นอยู่กับสถานที่ที่ใดทั้งสิ้น
ขึ้นอยู่กับตัวคน อยู่ที่ไหนก็ทำได้…


หลวงพ่อเทียน (คัดจากแถบบันทึกเสียง รหัส ท.119ม.)