วัดสนามใน เป็นที่รู้จักในกลุ่มผู้ปฏิบัติธรรมตามแนวทางของ หลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ แนวทางดังกล่าวให้ความสำคัญกับการเจริญสติด้วยการรู้การเคลื่อนไหวหรือเรียกว่า การเจริญสติแบบเคลื่อนไหว มุ่งเน้นให้ผู้ปฏิบัติธรรมได้ฝึกเจริญสติโดยการสังเกต หรือเฝ้าดูธรรมชาติรอบตัว สภาพแวดล้อมภายในวัด เต็มไปด้วยต้นไม้ หนองน้ำที่มีอยู่เองตามธรรมชาติ



ลักษณะพื้นที่วัด มีเนื้อที่กว้าง 80 เมตร ลึก 160 เมตร ติดทางรถไฟ แบ่งออกเป็น 3 เขต ดังนี้ หนึ่งเขตพระสงฆ์ด้านหลัง มีทางเดินจงกรมบนผิวถนนที่ตัดไว้เป็นรูปแปลงนา มีกุฏิสงฆ์ปลูกอยู่ท่ามกลางต้นไม้สูงใหญ่ประมาณ 10 ถึง 20 เมตร ซึ่งขึ้นอยู่หนาทึบ เขตอุบาสกและพระสงฆ์ส่วนด้านหน้า มีทางเดินจงกรมบนผิวถนนที่ตัดไว้ มีศาลาเอนกประสงค์ ศาลาปฏิบัติธรรมกลางแจ้ง ห้องสมุด และศาลารวมใจ เขตอุบาสิกาอยู่ฝั่งซ้ายของวัด เป็นเขตเรือนพักสำหรับอุบาสิกา ญาติโยม ผู้มาปฏิบัติธรรม มีลานจงกรมถมทรายหยาบ สภาพต้นไม้สูงร่มรื่น
วัดนี้ไม่ปรากฏที่มาว่าใครเป็นผู้สร้างและสร้างเมื่อใด เป็นวัดรกร้างไม่มีพระสงฆ์หรือเณรจำพรรษามาเป็นเวลานาน จนกระทั่งปี พ.ศ. 2519 นายวิโรจน์ ศิริอัฐิ และ มหาสุขสันต์ได้เข้ามาแนะนำวัดนี้แก่หลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ ซึ่งในขณะนั้นได้จำพรรษาอยู่ที่วัดชลประทานรังสฤษฎ์และกำลังหาสถานที่เหมาะสมสำหรับการปฏิบัติกรรมฐานแก่ญาติโยม โดยไม่เน้นการก่อสร้างวัตถุดังเช่นวัดอื่นๆ เมื่อหลวงพ่อเทียนมาดูที่วัดนี้พบว่ามีเพียงร่องรอยของโบสถ์เก่า เจดีย์เก่า ซากอิฐกระจัดกระจายอยู่พอให้เห็นว่าเคยเป็นวัดมาก่อน มีที่ดินเหลืออยู่เฉพาะบริเวณโบสถ์และเจดีย์ นอกนั้นได้ถูกชาวบ้านยึดไปทำกิน หลวงพ่อเทียนพอใจในสถานที่นี้ จึงตัดสินใจที่จะบูรณะให้เป็นวัดโดยสมบูรณ์อีกครั้งหนึ่ง 



  ลุงเล็ก 74 (นายโภคะ ภิญโญยิ่ง)  :
" สมัยก่อนนั้นกุฏิสร้างคร่อมคูน้ำ เพราะมันเป็นที่ท้องร่องสวนข่อย สวนมังคุด กุฏิฝึกเป็นหลังคามุงจาก นั่งฝึกนี่ได้กลิ่นไอน้ำจากร่องน้ำ ยังไม่มีไฟฟ้า ไม่มีน้ำประปา ต้องจุดเทียนและรองน้ำฝนไว้ใช้กัน ทางออกจากวัดมีทางเดียวคือ ทางหมู่บ้านสมชาย ถ้าฝนตกน้ำจะท่วมเสมอพระต้องเดินลุยน้ำบิณฑบาตกัน 
คำว่า สนามใน มาจากสนามรบ คือมันเป็นที่นักเลงตีกัน ท้าตีท้าต่อยกันที่นี่ ฆ่ากันตายแล้วเอาศพมาโยนให้รถไฟทับอำพรางคดี เมื่อก่อนนี้ไม่มีการแยกกุฎิหญิงชาย ตอนกลางคืนหลวงพ่อเทียนท่านจะไม่นอน แต่คอยเดินเวรยาม ดูความปลอดภัยให้ญาติโยมซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้หญิง เพราะมันเป็นที่เปลี่ยวและอันตราย พอมีไฟฟ้าเข้ามาถึงวัด คนก็เริ่มหลั่งไหลเข้าวัดมากขึ้นเรื่อยๆ
ตอนที่มาสร้างวัดหลวงพ่อเทียนท่านมีชื่อเสียงแล้ว ตอนท่านบิณฑบาตแรกๆคนแถวนี้ไม่มีคนรู้จัก คนเริ่มสนใจเพราะท่านสอนไม่เหมือนพระอื่นที่มักเน้นด้านอภิญญาในสมัยนั้น ท่านไม่ให้นั่งหลับตาให้ยกมือทำความรู้สึกตัว ตอนนั้นมีพระจำวัดประมาณ 5 รูป หลวงพ่อท่านจะไม่ฉันก่อนโยม ให้โยมฉันก่อนแล้วท่านจะเทศน์สอนโยมในระหว่างนั้น พออบรมธรรมเสร็จท่านจึงฉันทีหลัง เมื่อก่อนฝึกกันหนักมาก พอฉันเสร็จปุ๊บฝึกเลย ท่านไม่สอนเรื่องอื่นเลยนอกจากให้รู้สึกตัว
พระแบบนี้หาไม่ได้อีกแล้ว ท่านสอนเข้าใจง่าย มีเมตตา ชอบให้ปฏิบัติ คนที่คิดจะฆ่าตัวตายมาหาท่านจะเลิกคิดเลย ท่านพูดกินใจเข้าไปข้างใน  คนที่ได้เคยสนทนากับท่านมักจะไปบอกต่อคนอื่นจึงเพิ่มคนเข้าวัดขึ้นเรื่อยๆ และท่านไม่ใช่ลักษณะของพระบอกบุญเรี่ยไรเงิน ถ้ามาช่วยงานวัด หมายถึงมาด้วยใจ ทำกันฟรีๆ "                                         
                                                                                                                                                 ( สรุปคำบอกเล่าโดย ชมรมต่อเทียน )      
    
บรรยากาศวัดสนามในปี 20ตุลาคม 2548 


  ป้าพัน 76 (สุทธิพรรณ ทองอยู่)  :
" ป้าเริ่มเข้าวัดตอนเจริญแล้ว เมื่อก่อนศาลาใหญ่ปฏิบัติธรรมเป็นชั้นเดียวใต้ถุนโล่ง หอฉันเป็นเรือนไม้ แต่ก่อนไม่มีแท่นตักอาหารแบบทุกวันนี้นะ เอาอาหารใส่ถาดกระบะเป็นล้อแล้วเข็นเอา พระก็เลือกแกงเป็นถุงๆ ไม่ได้มาจัดเรียงแกงใส่เป็นชามๆอย่างสมัยนี้ การก่อสร้างสมัยก่อนก็ลำบากนะเพราะว่าต้องจอดรถไว้อีกด้านของทางรถไฟแล้วแบกวัสดุก่อสร้างข้ามทางรถไฟกันมา แต่โดยรวมแล้ววัดตอนนี้ก็ไม่ได้เปลี่ยนไปมากนักจากตอนที่ป้าเข้ามาใหม่ๆตอนปี 2525นะ
หลวงพ่อเทียนท่านไม่พูดคุยเล่น ไม่สุงสิงตีสนิท แต่ท่านใจดี ตอนป้าเข้ามาใหม่ๆพาโยมพ่อมาด้วยอายุรุ่นเดียวกับหลวงพ่อเทียน โยมพ่อประทับใจหลวงพ่อเทียนมากบอกว่า พระรูปนี้เชื่อถือได้เลย เมื่อก่อนคนเข้าวัดเยอะกว่าสมัยนี้นะ คนระดับใหญ่ๆโตๆแวะเวียนมากันหลายคน
หลวงพ่อเทียนท่านสอนทุกคน ใครอยากฝึกก็มา วิธีการของท่านทำให้เราวางใจได้ ทำให้รู้สึกว่าทุกอย่างไม่ค่อยมีความสำคัญ ความทุกข์มันมากับความคิด พอป้ามีปัญหาป้าก็จะยกมือ มันแก้ได้ เราจะไม่อยู่ในความคิด นี่คือที่ได้เรียนรู้จากหลวงพ่อเทียน ท่านไม่รับบริจาค ไม่มีเรี่ยไร ไม่มีมาพูดถึงการสร้างโน่นสร้างนี่ใหญ่โตสิ้นเปลือง หรูหราฟุ่มเฟือยไม่มี พัดลมก็ไม่มี คนมาฝึกสมัยนั้นเค้าก็อยู่กันได้นะ มีเท่าไหร่ก็อยู่กันไป ท่านกินง่ายอยู่ง่าย ท่านไม่ค่อยรับกิจนิมนต์ สวดมนต์ไม่ค่อยเน้น เดินจงกรม นั่งสร้างจังหวะ ฝึกปฏิบัติให้มากๆอย่างเดียว สอนบ่อยๆว่า คิดให้รู้ ให้รู้จักเตือนตัวเองดูตัวเอง
เรานึกถึงบุญคุณวัด นึกถึงบุญคุณหลวงพ่อเทียน ทำให้อยากมาวัด โชคดีบ้านป้าอยู่ใกล้วัดสนามใน ฝนตกฟ้าร้องก็มามันได้ประโยชน์จริงๆ "
                                                                                                                                                        ( สรุปคำบอกเล่าโดย ชมรมต่อเทียน ) 


  พระอาจารย์โสภณ ฉนฺทธมฺโม 46ปี (พรรษา23) :
"  หลวงพ่อเทียนท่านไปสอนธรรมะที่สวนธรรมะสากลที่หาดใหญ่ตอนปี 2525 อาตมาทราบว่าท่านพำนักอยู่ที่วัดสนามในจึงตามมาฝึก อาตมามาถึงวัดสนามในอยู่ได้สี่เดือนในครั้งแรก ประทับใจในความสงบ เงียบ มีกุฏิเรียบๆง่ายๆหลังเล็กๆ ตอนนั้นแยกชายหญิงแล้ว สมัยก่อนไม่มีตารางเวลาฝึก ว่างก็ฝึกกันเลยทั้งโยมทั้งพระเหมือนกัน ฝึกกันหนัก ทุกคนรู้หน้าที่ตัวเอง หลวงพ่อเทียนท่านอยู่เป็นเพื่อนคอยพูด คอยดูแล คอยให้กำลังใจ เราก็มีกำลังใจฝึก หลวงพ่อเทียนท่านพูดน้อยมาเลย พูดเท่าที่จำเป็น ท่านให้เราปฏิบัติเอาเอง ท่านเน้นฝึกไม่เน้นกิจนิมนต์
ตอนที่พบหลวงพ่อเทียนครั้งแรก อาตมายังเป็นโยมฟังธรรมะไม่รู้เรื่อง ยังไม่เห็นประโยชน์ เรียกว่าธรรมะนี่ไม่สนใจ ต่อมาได้บวชตามประเพณี อาตมาบวชในเมือง จริงๆแล้วตอนนั้นอาตมาไม่รู้นะว่า ชีวิตอาตมาควรเดินไปทางไหน สับสนตัวเอง พอบวชแล้วใจก็ชอบธรรมะนะแต่มันก็ชอบชีวิตแบบคนทั่วไปด้วย พอเป็นพระก็เริ่มเครียดเพราะตัดสินใจไม่ได้ว่าจะสึกหรือไม่สึกดี จึงเริ่มศึกษาธรรมอย่างจริงจัง เพื่อหวังว่าจะหาทางออกให้กับชีวิตตัวเอง
เท่าที่อาตมาจำได้สมัยก่อนนั้นวัดสนามในยังไม่มีพื้นที่ตรงบริเวณฝั่งอุบาสกนะ เพราะชาวบ้านเค้าบุกรุกสถานที่อยู่ก่อนที่หลวงพ่อเทียนท่านจะมาบูรณะเป็นวัด ต่อมาหลวงพ่อเทียนมรณภาพ จึงมีการทำเรื่องขอคืนพื้นที่ให้แก่วัด  "
                                                                                                                                                    ( สรุปคำบอกเล่าโดย ชมรมต่อเทียน ) 

ศึกษาธรรมะ กับธรรมชาติ


ศึกษาธรรมะ ศึกษากับธรรมชาติมันจริงๆ
มันก็ต้องรู้มาจากกฎของธรรมชาติมันจริงๆ
เพราะธรรมชาติมันสอนให้เราจริงๆ เป็นอย่างนั้น


ตาจึงเป็นหน้าที่ของมองให้เห็น
หูจึงเป็นหน้าที่ของฟัง
จมูกจึงเป็นหน้าที่ของดม
กายเราเป็นหน้าที่ที่สัมผัส เย็น ร้อน อ่อน แข็ง
ลิ้นนี่ กินอาหารเข้าไปเป็นหน้าที่ที่จะรู้รส
จิตใจของเราเรียกว่าธรรมารมณ์เกิดขึ้นกับใจ
คำว่าธรรมารมณ์เกิดขึ้น ก็คือ หมายถึง
จิตใจเราปรากฏ พลิกแพลง เราต้องเห็นต้องรู้


เมื่อเรารู้จักหน้าที่ของคน
เราต้องศึกษาความเป็นคน
เนี่ยะ…ความเป็นมนุษย์
เรื่องเทวดา เรื่องพระอินทร์ พระ-พรหม
แล้วก็ไม่ต้องศึกษาก็ได้ มันเป็นอย่างนั้น
แต่เมื่อศึกษาความเป็นมนุษย์ได้แล้ว
มันจะไหลไป เข้าไปสู่ความเป็นพระอริยบุคคล
ไม่ว่ายุคนั้น ยุคนี้ ไปเหมือนเดิม


ดังนั้น การศึกษาธรรมะจึงไม่ยาก
ไม่ขึ้นอยู่กับสถานที่ที่ใดทั้งสิ้น
ขึ้นอยู่กับตัวคน อยู่ที่ไหนก็ทำได้…


หลวงพ่อเทียน (คัดจากแถบบันทึกเสียง รหัส ท.119ม.)